9
พ.ค.
เรื่องราวของ ท็อดด์ โบห์ลี่ : ว่าที่เจ้าของใหม่ เชลซี
ตอนนี้ถ้าไม่มีอะไรพลิกล็อกแบบถล่มทลาย เชลซี ก็น่าจะได้ ท็อดด์ โบห์ลี่ เข้ามาเป็นเจ้าของทีมรายใหม่ หลังจากล่าสุด "สิงโตน้ำเงินคราม" แถลงการณ์เองว่าสามารถบรรลุข้อตกลงโดยรวมกับกลุ่มทุนของ โบห์ลี่ ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงรอการอนุมัติในประเด็นอื่นๆ จากทางฝ่ายจัดการแข่งขันของ พรีเมียร์ลีก และจากรัฐบาลของสหราชอาณาจักรเท่านั้น
- เลือดนักกีฬาตั้งแต่วัยรุ่น
โบห์ลี่ ซึ่งมีเชื้อสายเยอรมันจากการที่คุณปู่คุณย่าของเขาอพยพมาจากเมืองเบียร์นั้น เคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแลนดอน ในเมืองเบเธสด้า รัฐแมรี่แลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และที่นั่นเองที่เขาได้เป็นสมาชิกของทีมมวยปล้ำประจำโรงเรียน ซึ่งทีมในยุคของเขาก็ประสบความสำเร็จจนถึงขั้นเคยได้แชมป์ ไอ.เอ.ซี หรือแชมป์ลีกระดับมัธยมทั้งในปี 1990 กับ 1991 ขณะที่พอถึงปี 2014 ทางโรงเรียนก็ตั้งชื่อส่วนหนึ่งของโรงเรียนให้เป็น โบห์ลี่ แฟมิลี่ เรสท์ลิ่ง รูม เพื่อเป็นเกียรติให้กับเขาเลย
- จุดเด่นในแวดวงธุรกิจ
โบห์ลี่ ถือเป็นคนที่มีสายสัมพันธ์กับกรุงลอนดอนในระดับหนึ่ง เพราะเขาเคยมาเรียนด้านเศรษฐศาสตร์ที่ ลอนดอน สคูล ออฟ อีโคโนมิคส์ ซึ่งในช่วงแรกๆ เขาทำงานที่ ซิตี้แบงค์, ซีเอส เฟิร์สท์ บอสตัน และ เจ.เอช. ไวท์นี่ย์ แอนด์ คอมพานี แต่จุดที่ถูกมองว่ามีความสำคัญกับชีวิตการเป็นมหาเศรษฐีของเขาจริงๆ ก็คือตอนที่เขาเข้าร่วมกับ กุ๊กเก้นไฮม์ พาร์ทเนอร์ส บริษัทด้านการลงทุนและการให้คำแนะนำด้านการเงินเมื่อปี 2001
ตอนอยู่ที่นั่นเขารับหน้าที่ดูแลธุรกิจหลายอย่าง และเมื่อต้นปี 2013 เขาก็ได้ดำเนินธุรกิจในวงการกีฬาที่ใหญ่มากครั้งหนึ่งเมื่อเขาเป็นคนจัดการดีลระหว่าง ลอสแองเจลิส ด็อดเจอร์ส ทีมเบสบอลชื่อดังที่เขาเป็นเจ้าของร่วม กับ ไทม์ วอเนอร์ เคเบิ้ล บริษัทด้านโทรทัศน์ เพื่อสร้าง สปอร์ตส์เน็ต แอลเอ เครือข่ายการถ่ายทอดเกมของ ด็อดเจอร์ส ภายในย่านท้องถิ่นครบทุกเกม รวมถึงฉายโปรแกรมเกี่ยวกับ ด็อดเจอร์ส ด้วย
ขณะที่พอถึงปี 2015 โบห์ลี่ ก็หอบข้าวของที่เขาเคยเป็นเจ้าของตอนอยู่ที่ กุ๊กเก้นไฮม์ ออกมาจากบริษัทพร้อมกับตัวเอง เพื่อที่จะตั้งบริษัทใหม่ชื่อ เอลดริดจ์ อินดรัสทรี่ส์ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาบริษัทของเขาก็ทำเงินได้ดีจนทำให้ว่ากันว่าตอนนี้ โบห์ลี่ มีทรัพย์สินรวมกันเป็นมูลค่า 4.72 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว
- การลงทุนกับโลกกีฬา
ตามที่บอกไปในเบื้องต้นว่า โบห์ลี่ เป็นเจ้าของร่วมของ ด็อดเจอร์ส โดยเขากับบรรดาคนสนิทได้ถือครองสิทธิ์ดังกล่าวในชื่อ กุ๊กเก้นไฮม์ เบสบอล เมเนจเมนท์ เมื่อปี 2012 ซึ่งดีลการซื้อทีมในตอนนั้นมีมูลค่าอยู่ที่ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้วยกัน ซึ่งหลังจากนั้น ด็อดเจอร์ส ก็ได้แชมป์ของฝั่งโซนตะวันตกหลายหน แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับแชมป์ที่ใหญ่ที่สุดอย่าง เวิลด์ ซีรี่ส์ ที่พวกเขาได้แชมป์เมื่อปี 2020 โดย ด็อดเจอร์ส ถือเป็นหนึ่งในทีมเบสบอลที่ใช้เงินเเยอะที่สุดทีมหนึ่งในช่วงที่ผ่านมาเลยทีเดียว
นอกจากนี้ เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคคม ปี 2021 โบห์ลี่ กับ มาร์ค วอลเตอร์ ก็ยังตัดสินใจซื้อหุ้นของ ลอสแองเจลิส เลเกอร์ส เป็นจำนวน 27 เปอร์เซ็นต์เหมือนกัน ขณะเดียวกันเขากับเพื่อนๆ ก็ยังเป็นเจ้าของร่วมของ ลอสแองเจลิส สปาร์คส์ ทีมบาสเกตบอลหญิงใน ดับเบิ้ลยูเอ็นบีเอ ลีกสูงสุดของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา และทีมดังกล้าวก็เคยได้แชมป์ไป 1 สมัยด้วย
- ความพยายามที่กำลังจะสัมฤทธิ์ผล
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ โบห์ลี่ พยายามจะมาตั้งรกรากด้านธุรกิจในวงการฟุตบอลอังกฤษ ย้อนกลับไปเมื่อปี 2018 เขาเคยมีความคิดที่จะซื้อ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ โดนตอนนั้นเขาพร้อมที่จะเทเงินจำนวน 2.3 พันล้านปอนด์เพื่อเข้าฮุบ "ไก่เดือยทอง" แต่สุดท้ายการเจรจาก็ล้มเหลวเมื่อทางผู้บริหารของ สปอร์ส ตั้งราคาเอาไว้ที่ 3 พันล้านปอนด์ แบ่งเป็น 2.3 พันล้านปอนด์สำหรับการซื้ออหุ้น และอีก 700 ล้านปอนด์สำหรับการเคลียร์หนี้
โบห์ลี่ ไม่ยอมแพ้ เพียงแต่เขาเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นทีมร่วมกรุงลอนดอน ด้วยการยื่นข้อเสนอขอซื้อ เชลซี เมื่อปี 2019 โดยตอนนั้นมันมีกระแสข่าวลืออย่างหนาหูพอดีว่า อบราโมวิช กำลังพิจารณาที่จะขายทีม ภายหลังตอนนั้น รัสเซีย กับ สหราชอาณาจักร มีปัญหาระหว่างกันจนส่งผลให้ อบราโมวิช เจอปัญหาตามไปด้วย ซึ่งครั้งนั้นก็ไม่สำเร็จอีกหลังจากว่ากันว่าข้อเสนอของเขาไม่ถึงระดับ 3 พันล้านปอนด์ตามที่ อบราโมวิช ต้องการ
หากถามว่าทำไมเขาถึงอยากมีทีมฟุตบอลใน พรีเมียร์ลีก มากถึงขนาดนั้น คำให้สัมภาษณ์ของเขากับ บลูมเบิร์ก สื่อด้านธุรกิจชื่อดังเมื่อปี 2019 ก็อาจจะเป็นคำตอบที่ดีในระดับหนึ่งได้ "ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในโลก อารมณ์ร่วมที่แฟนๆ มีให้กับกีฬาและทีมของพวกเขามันสูงจนกีฬาชนิดไหนก็เทียบไม่ติด สิ่งที่คุณพยายามจะสร้างกับทีมเหล่านี้ก็คือ 1. พยายามเป็นแชมป์ให้ได้ และ 2. พยายามเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนให้ได้"
"โอกาสที่เรามีร่วมกับ ด็อดเจอร์ส ในช่วงที่ผ่านมาคือการเป็นเจ้าของเมืองลอสแองเจลิส ด้วยกัน, เรื่องที่ว่าเราจะชนะกันแบบไหน, เราจะผลักดันไปสู่การเป็นแชมป์กันยังไง และเราจะสร้างอารมณ์ร่วมกันแบบไหน ซึ่งถ้าคุณลองดูถึงสิ่งที่ พรีเมียร์ลีก มีแล้วล่ะก็ คุณก็จะพบว่ามันมีของแบบนั้นครบทุกอย่าง พวกกเขามีทั้งการเล่นที่มีคุณภาพสูงสุด, มีนักเตะที่เก่งที่สุดอยู่หลายคน แถมยังมีการตลาดด้านสื่อที่ถือว่าพัฒนาอย่างมากเลยทีเดียว"
ในที่สุด โบห์ลี่ ก็กำลังจะได้สิ่งที่เขาต้องการ ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าเมื่อเขาเข้ามาเทคโอเวอร์ เชลซี แล้วนั้น เขาจะยังทำให้ทีมเป็นเหมือนยุคของ อบราโมวิช หรือเหนือกว่านั้นได้หรือไม่
- เด็กเกร็ดบอล -
สยามกีฬา