7
เม.ย.
เบนเซม่าโหดกดแฮตทริก! เรอัลมาดริดบุกขยี้เชลซีโอกาสลิ่วตัดเชือกชปล.สดใส
"สิงห์บลูส์" เชลซี ทีมแชมป์เก่า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เจองานยากลำบากเสียแล้ว สำหรับการลุ้นผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือก หลังแพ้ เรอัล มาดริด คาบ้าน 1-3 ในการแข่งขันรอบก่อนรองฯ นัดแรก เมื่อคืนวันพุธที่ 6 เมษายน ที่ผ่านมา โดยเกมนี้ "ราชันชุดขาว" ได้ทั้งสามประตูจาก คาริม เบนเซม่า คนเดียว โอกาสลิ่วสู่รอบรองฯ สดใสเหลือเกิน
สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์
เกมนี้ โธมัส ทูเคิ่ล กุนซือ เชลซี ใช้ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า เล่นวิงแบ็กฝั่งซ้าย ส่วนหน้าเป้าเป็น ไค ฮาแวร์ตซ์ โดยที่มี คริสเตียน พูลิซิช กับ เมสัน เมาท์ เล่นอยู่ข้างหลัง ขณะที่ทางฝั่ง เรอัล มาดริด ได้ คาร์โล อันเชลอตติ ยอดโค้ชชาวอิตาเลียน ที่หายป่วย "โควิด-19" ทันเวลา กลับมาคุมทีมข้างสนาม พร้อมใช้ เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้ เล่นแนวรุกร่วมกับ คาริม เบนเซม่า และ วินิซิอุส จูเนียร์
เชลซี ออกสตาร์ทเกมได้ดูดีกว่า แต่กลายเป็น เรอัล มาดริด ที่มีโอกาสได้ลุ้นก่อนในนาทีที่ 10 จากจังหวะที่ วินิซิอุส จูเนียร์ ได้ยิงแบบเน้นๆ ทว่าบอลไปชนคานอย่างน่าเสียดาย
นาทีที่ 15 เชลซี ได้ลูกฟรีคิกระยะหวังผล ซึ่ง รีซ เจมส์ ยิงได้ดีทีเดียว แต่ ติโบต์ กูร์กตัวส์ นายทวารทีมเยือน ซึ่งเคยเล่นให้กับ "สิงห์บลูส์" ปัดออกมาได้
(Goal!!!) นาทีที่ 21 เป็น เรอัล มาดริด ที่ได้ประตูขึ้นนำก่อน จากจังหวะที่ วินิซิอุส จูเนียร์ เล่นชิ่งกับ คาริม เบนเซม่า ทางฝั่งซ้าย ก่อนเปิดบอลเข้ากลางกลับไปให้ เบนเซม่าโหม่งเต็มๆ ส่งบอลเสียบใต้คานอย่างสุดสวย
(Goal!!!) แชมป์ยุโรป 13 สมัย ยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจ นาทีที่ 24 พวกเขามาได้ประตูที่สองจาก เบนเซม่า คนเดิม ที่โขกย้อนศร ส่งบอลผ่านมือ เอดูอาร์ เมนดี้ นายประตูเจ้าถิ่น เข้าไปอย่างเฉียบขาด ซึ่งก็ต้องยกเครดิตให้กับ ลูก้า โมดริช ที่วางบอลเข้าในกรอบเขตโทษได้สุดแม่นยำ
นาทีที่ 30 "ราชันชุดขาว" ได้ลุ้นอีกแล้ว จากลูกเตะมุมฝั่งซ้าย ซึ่ง โทนี่ โครส เปิดบอลเข้ามาตรงหน้าประตู และเป็น เอแดร์ มิลิเตา ได้โขกเต็มๆ แต่บอลไปตรงตัว เมนดี้ ที่รับเอาไว้ได้
(Goal!!!) นาทีที่ 40 เชลซี ตีไข่แตกสำเร็จ ไล่ขึ้นมาเป็น 1-2 จากจังหวะที่ จอร์จินโญ่ หยอดบอลเข้าในกรอบเขตโทษ และเป็น ไค ฮาแวร์ตซ์ โขกเต็มแรง ส่งบอลพุ่งตุงตาข่าย ถึงแม้ กูร์กตัวส์ ปัดได้ก็ตาม
นาทีที่ 42 เบนเซม่า เกือบทำแฮตทริกได้ เมื่อมีโอกาสได้ยิงเน้นๆ ในกรอบเขตโทษ ทว่าเจ้าตัวกลับยิงบอลหลุดกรอบเฉย
จบครึ่งแรก เชลซี ตาม เรอัล มาดริด 1-2
(Goal!!!) เริ่มครึ่งหลังมาได้แค่นาทีเดียว กลายเป็น เชลซี ที่มีสกอร์ตามหลัง 1-3 จากความผิดพลาดของ เมนดี้ ที่ส่งบอลน้ำหนักไม่ดี เบนเซม่า เข้าปั้มบอลชนะ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ก่อนแปบอลเข้าประตูไปอย่างง่ายดาย ซึ่งถือเป็นประตูที่ 37 ของ หัวหอกเฟร้นช์แมนวัย 34 ปี จากการลงเล่นรวมทุกรายการ 36 นัดในฤดูกาลนี้
นาทีที่ 50 เชลซี เกือบได้ประตูที่สอง เมื่อ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า มีโอกาสได้ลองส่องไกล บอลกำลังพุ่งเสียบสามเหลี่ยม แต่ กูร์กตัวส์ บินปัดบอลออกหลังไปได้อย่างสุดยอด
นาทีที่ 68 "สิงห์บลูส์" พลาดได้ประตูอย่างน่าเสียดาย เมื่อ โรเมลู ลูกากู ที่ลงสำรอง ได้โขกคนเดียวโล่งๆ แต่บอลหลุดกรอบออกหลังไปเฉย และหลังจากนั้นไม่ถึงนาที พวกเขาได้เสียวอีกครั้ง จากจังหวะส่องไกลข้ามคานแบบได้ลุ้นของ เมสัน เมาท์
เกมครบ 90 นาทีเรียบร้อย ซึ่งถึงแม้มีการทดเวลาบาดเจ็บออกไปถึง 5 นาที แต่ไม่มีฝ่ายใดทำประตูกันได้ จบเกม เชลซี พ่าย เรอัล มาดริด คาบ้าน 1-3 ทำให้ทีมแชมป์เก่าตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง "ราชันชุดขาว" อย่างมหาศาล ก่อนออกไปเยือนรัง ซานติอาโก เบร์นาเบว ในการแข่งขันเลกสอง วันอังคารที่ 12 เมษายน
รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม
เชลซี (3-4-2-1) : เอดูอาร์ เมนดี้ - อันเดรียส คริสเตนเซ่น (มาเตโอ โควาซิช น. 46), ติอาโก้ ซิลวา, อันโตนิโอ รือดิเกอร์ - รีซ เจมส์, เอ็นโกโล่ ก็องเต้ (ฮาคิม ซิเย็ค น. 46), จอร์จินโญ่ (รูเบน ลอฟตัส-ชีค น. 64), เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า - คริสเตียน พูลิซิช (โรเมลู ลูกากู น. 64), เมสัน เมาท์ - ไค ฮาแวร์ทซ์
เทรนเนอร์ : โธมัส ทูเคิ่ล
เรอัล มาดริด (4-3-3) : ติโบต์ กูร์กตัวส์ - ดานี่ การ์บาฆาล, เอแดร์ มิลิเตา (นาโช่ เฟร์นานเดซ น. 64), ดาวิด อลาบา, แฟร์กล็องต์ เมนดี้ - ลูก้า โมดริช, กาเซมิโร่, โทนี่ โครส (เอดูอาร์โด้ กามาวิงก้า น. 74) - เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้ (ดานี่ เซบายอส น. 86) , คาริม เบนเซม่า (แกเร็ธ เบล น. 86), วินิซิอุส จูเนียร์
เทรนเนอร์ : คาร์โล อันเชลอตติ
ผู้ตัดสิน : เกลม็องต์ ตูร์กแป็ง (ฝรั่งเศส)
สยามกีฬา