30
มี.ค.
ริคาร์โด้ ปราเซล อดีตโกลเชลซีชีวิตพลิกผันจากนายทวารดาวรุ่งสู่ยอดนักสู้ "เอ็มเอ็มเอ"
บางครั้งชีวิตคนเราอาจต้องพบกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ อย่างในกรณีของ ริคาร์โด้ ปราเซล อดีตผู้รักษาประตูสโมสรเชลซี ที่มีจุดพลิกผันให้ต้องตัดสินใจแขวนถุงมือตั้งแต่ช่วงอายุ 22 ปีก่อนจะได้ดิบได้ดีในการเป็นนักสู้ประเภทศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบผสม (เอ็มเอ็มเอ)
นายด่านชาวบราซิเลียน เริ่มต้นเข้าสู่วงการฟุตบอลอาชีพกับ แอตเลติโก พาราเนนเซ่ ก่อนจะร่วมทัพ คลับ แอตเลติโก ยูเวนตุส จากนั้นก็ย้ายมาเล่นในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ในยุคที่ โชเซ่ มูรินโญ่ กุมบังเหียน เมื่อปี 2009 ในวัยเพียง 18 ปี
ในเวลานั้น ปราเซล ซึ่งเป็นเจ้าของความสูง 6 ฟุต 7 นิ้ว หรือประมาณ 2 เมตร เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงอย่างมาก แต่ต้องอยู่ภายใต้ร่มเงาของ ปีเตอร์ เช็ก กับ เอ็นริเก้ ฮิลาริโอ้
ปราเซล ได้รับสัญญาอาชีพครั้งแรกกับ "สิงห์บลูส์" ในฐานะโกลมือ 3 อย่างไรก็ตามชีวิตของเขาต้องพลิกผันเมื่อได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่สะโพก และหลังจากนั้นต้องใช้เวลารักษาตัว 1 ปี แม้เจ้าตัวจะพยายามที่จะฟื้นฟูอาชีพของเขาด้วยการย้ายไปเล่นเบลเยียม แต่ก็ไม่สำเร็จสุดท้ายก็ตัดสินใจเลิกเล่นไปโดยปริยาย
หลังจากเลือกแขวนถุงมือแล้ว ปราเซล เริ่มเข้าเรียนในระดับวิทยาลัยซึ่งที่นั่นทำให้เขาได้เริ่มศึกษาเกี่ยวกับศิลปะป้องกันตัวที่เรียกว่า "ยิวยิตสู" หลังจากนั้น ปราเซล ก็ตัดสินใจกระโดดเข้าสู่วงการมวยกรง และในปี 2012 เขาก็ได้ลงสนามเปิดตัวในรายการนี้
เมื่อเร็วๆ นี้ ปราเซล ที่ปัจจุบัน อายุ 31 ปีเพิ่งเอาชนะ ไมเคิ่ล คิต้า วัย 41 ปี ในยก 2 ของการแข่งขันรายการ "เคเอสดับเบิ้ลยู" สำหรับเส้นทางใหม่ของเขากำลังไปได้สวย แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ไม่เคยลืมอดีตที่ครั้งหนึ่งได้อยู่กับสโมสรฟุตบอลระดับโลก
ปราเซล ที่ไม่เคยได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่เชลซีเลย แต่มักจะทำหน้าที่ช่วยเหลือ ดีดิเย่ร์ ดร็อกบา กับ มิชาเอล บัคลัค ในช่วงระหว่างการฝึกซ้อมฟรีคิก โดยเจ้าตัวเปิดใจเกี่ยวกับช่วงเวลาดังกล่าวว่า "ดร็อกบา เป็นคนที่โคตรน่าเหลือเชื่อ ผมไม่เคยได้ลงเล่นในเกมอาชีพเพราะผมเป็นผู้รักษาประตูมือ 3"
"(ปีเตอร์) เช็ก กับ (เอ็นริเก้) ฮิลาริโอ้ มักได้ลงสนาม แต่ผมก็ได้เล่นร่วมกับพวกเขาทุกวัน เพราะหลังจากที่ฝึกซ้อมพวกเขาอยากที่จะซ้อมยิงฟรีคิก และผมต้องทำหน้าที่นั่นเพื่อพยายามป้องกันลูกยิงฟรีคิก ผมใช้เวลา 30 นาทีทุกวัน ดร็อกบากับ บัลลัค มักซ้อมยิงฟรีคิก พระเจ้าพวกเขาไม่เคยพลาดเลย มันน่าเหลือเชื่อมาก"
หลังจากที่ไม่ประสบความสำเร็จกับ เชลซี สุดท้าย ปราเซล ก็ถูกส่งไปเล่นแบบยืมตัวกับอาร์เอฟซี ลีแอช แต่อาการบาดเจ็บสะโพกเป็นอุปสรรคสำคัญจนทำให้เขาต้องเลิกเล่นไปอย่างเจ็บปวด
ปราเซล ต้องหวนกลับไปยัง บราซิล บ้านเกิดเพื่อทำการศึกษาหาความรู้ และเริ่มฝึกกีฬา "ยิวยิตสู" เพื่อรักษาความฟิต โดยเขาเผยว่า "ตอนที่ผมเริ่มฝึกกีฬายิวยิตสู ผมไม่ได้ตั้งใจว่าจะเอาดีจนกลายเป็นนักกีฬาอาชีพ"
"ผมเริ่มเข้าเรียนในวิทยาลัย และฝึกซ้อมยิวยิตสูเพื่อความสนุก แต่มีหลายๆ อย่างเริ่มเกิดขึ้น การเลิกเล่นกีฬาชนิดหนึ่ง และไปถึงระดับกีฬาอีกประเภทหนึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากๆ ครอบครัวภูมิใจในตัวผม, พ่อของผมภูมิใจผมมากๆ มันเป็นอะไรที่สุดยอดจริงๆ"
การที่ต้องเลิกเล่นฟุตบอลซึ่งเป็นกีฬาที่รักที่สุดเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง แต่ ปราเซล ก็ไม่ได้เสียใจที่ต้องหันเหชีวิตจากเกมลูกหนังและประสบความสำเร็จกับกีฬาเอ็มเอ็มเอ "ถ้าคุณถามผมว่าผมอยากเล่นให้กับทีมชาติบราซิล หรือเข้าสู่วงการนักสู้ยูเอฟซี ขอตอบเป็นร้อยครั้งว่าผมจะเลือกเป็นนักสู้ในการแข่งขันยูเอฟซี"
"สำหรับกีฬาเอ็มเอ็มเอมันขึ้นอยู่กับตัวผมเท่านั้น และอะดรีนาลีนมันพุ่งพล่านสุดๆ ผมรักกีฬานี้ ผมรักการต่อสู้ ครั้งหนึ่งผมเป็นนักฟุตบอลที่ดี แต่ผมไม่มีทางแลกกับอาชีพนักสู้แน่นอน"
ทั้งนี้ ปราเซล ต้องกระโดนเข้าสู่การแข่งขันระดับ "เคเอสดับเบิ้ลยู" ซึ่งเป็นลีก "เอ็มเอ็มเอ" ชั้นนำในยุโรป โดยเขาเป็นที่รู้จักกันในนาม "เดอะ เยอรมัน" เพราะพ่อของเขาเป็นชาวด๊อยท์ช ผลงานของเจ้าตัวมีสถิติชนะ 11 และแพ้ 3 ไฟ
ครั้งหนึ่ง ปราเซล อาจจะไม่สามารถหยุดพลังการยิงฟรีคิกจากบาทาของ ดร็อกบา ได้ แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะการเตะและการชกจากคู่แข่ง เขาพร้อมที่จะรับมือได้ทุกกระบวนท่า และไม่รู้สึกหวาดหวั่นอะไรทั้งนั้น
ทอมเม้ง
สยามกีฬา